มาเรียนรู้กับเรื่องวิธีการรักษาริ้วรอย anti aging ในกลุ่มอายุที่แตกต่างไปด้วยกันนะคะ
กลุ่มการป้องกันกลุ่มแรก คือ การป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนที่มันจะสายเกินไป
กลุ่มป้องกันกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีอายุมากหน่อย คือต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยย้อนเวลา
Routine ป้องกันการเกิดริ้วรอยอายุต่ำกว่า 20 ถึง 50 ต้นๆ
กลุ่มนี้เป็นช่วงอายุนี้เป็นช่วงเวลาที่ผิวของเรานั้น Top From มากๆ อาจจะไม่ต้องการส่วนผสม Skin careที่ช่วยให้แอคทีฟมากๆนัก แต่ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มสร้าง Skin care Habit หรือการสร้างพฤติกรรมให้ใช้Skin care แบบดีๆ เพื่อจะให้ผิวของเราคงความมีสุขภาพของผิวที่ดีไปได้นานที่สุด
วิธีการเริ่มสร้าง Skin care Habit
1.การเลือกใช้ โฟมล้างหน้า cleanser ซึ่งส่วนใหญ่วัยรุ่นจะผิดพลาดในเรื่องนี้มาก โดยไปเลือกใช้แบบที่มีโฟมมากๆ และมีค่า PH สูงๆที่ให้ความรู้สึกแบบสะอาดเอี๊ยดๆเลยหลังล้าง มันจึงทำให้เรามีผิวที่แห้งมากๆ แห้งแบบทะเลทรายซาฮาร่าเลย แล้วไอ้ความรู้สึกสะอาดเอี๊ยดๆนี่มันจะเป็นความรู้สึกดีแค่ชั่วคราวเท่านั้น โดยเฉพาะถ้าผิวของคุณมีความมันมากๆ แต่มันคือการแลกมาด้วยเกราะปกป้องผิวที่โดนทำลาย และริ้วรอยที่จะตามมาถ้าคุณไม่รีบแก้นิสัยนี้ ขอแนะนำให้หาโฟมล้างหน้าที่มีสารทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีค่า PH ที่เหมาะกับผิว 4.5-5.5
2.การเลือกใช้ Moisturizer ที่จะสามารถเสริมเกราะป้องกันผิวของคุณได้ เพราะผิวของเรานี่มันจะสามารถบำรุง รักษา และสามารถบำรุงซ่อมแซมรักษาตัวเองได้ดีที่สุดถ้ามันมีความชุ่มชื้น
3.การเลือกใช้ Sunscreen การเลือกหาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่น้อยกว่า 30 เพราะจากการวิจัยระบุเลยว่า 90 %ของริ้วรอยที่เกิดนั้นเกิดจากรังสี UV เพราะว่ารังสี UV มันสามารถเดินทางเข้าไปในผิวหนังชั้นล่างของเราได้ และทำลายคอลาเจนที่ทำให้ผิวเรามีความเด้งเต่งตึงได้ และงงานวิจัยยังระบุชี้ชัดด้วยกว่า กว่า 80 % ของความเสียหายบนใบหน้าเราที่เกิดจากแสงUV จะเกิดขึ้นก่อนอายุ 20
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ดูแลผิวมาตั้งแต่วัยรุ่น ก็อย่าเพิ่งท้อหรือหมดหวังไปนะคะ เพราะมันไม่สายเกินไปที่จะเริ่มดูแลผิวอยากถูกวิธีเพราะฉะนั้นเราไปต่อกันที่
Routine ลดริ้วรอยอายุ 20 กลางๆจนถึง 30 +
Routineในกลุ่มนี้ก็คล้ายๆกับน้องๆในกลุ่มที่ 1 คือต้องใช้
ต้องมี cleanser ที่ดี Moisturizer ที่เหมาะกับสภาพผิว และSunscreen ที่ดีๆตัวหนึ่ง ในการดูแล รักษา ซ่อมแซมผิว เช่นกัน แต่ว่าตั้งแต่อายุ 23-25 ปีขึ้นไปผิวของเราก็จะเริ่มสูญเสียคอลาเจนไปในทุกๆปีประมาณปีละ 1 % เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องเพิ่มเข้ามาในกลุ่ม Routine กลุ่มนี้คือ สกินแคร์ที่จะต้องมีส่วนผสมของสารประกอบที่สามารถรักษาริ้วรอยและกระตุ้นการผลิตคอลาเจนโดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลือกจำนวนมาก แต่วันนี้เราจะนำวิตามิน A ที่มีงานวิจัยสนับสนุนมากที่สุด และมีประวัติการใช้จริงมายาวนาน และเป็นส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับจาก องค์การอาหารและยาของอเมริกา และคุณหมอผิวหนังจำนวนมากว่ามีการช่วยในเรื่องริ้วรอย วันนี้เราจึงมาเพิ่มเติมเรื่องวิตามิน A บางตัวกันเพราะวิตามิน A ก็มีรูปแบบที่หลากหลาย และแต่ละตัวก็มีข้อควรระวังในการใช้ ไปดูพร้อมกันค่ะ
วิตามิน A ตัวแรกคือ Retinoic Acid เป็นตัวที่ปกป้องรุนแรงที่สุด และเป็นตัวที่มีงานวิจัยสนับสนุนมากที่สุดในการกระตุ้นการผลิตคอลาเจนในผิวเพื่อลดริ้วรอย เพราะว่าเวลาที่เราทาลงไปบนผิว Retinoic Acid มันจะสามารถซึมไปไปในชั้นผิวหนังที่ลึกของเราได้ และนำไปใช้ได้เลยทันที เพราะ แต่ความแรงนี้ก็มาพร้อมข้อเสีย คือข้อควรระวังอย่ามาก จะพบว่าคนส่วนมากทาแล้วจะเกิดอาการแสบ แดง เกราะป้องกันผิวโดนทำลาย แนะนำว่าอย่าทนดื้อใช้ต่อ เพราะมันมีตัวเลือกวิตามิน A อีกเยอะที่อาจจะอ่อนโยนกว่า และเหมาะกับผิวคุณมากกว่า อย่างเช่น Retinal ซึ่งเป็นอนุภาควิตามิน A ที่ต้องแปลงบนผิวเรา 1 ครั้งก่อนจึงจะเห็นผลได้ คือเห็นผลไม่รวดเร็วแบบตัว Retinoic Acid แต่จะอ่อนโยนกว่า ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ที่มีRetinal) หาได้ค่อนข้างยาก แต่ก็มีของแบรนด์ Dr.Different ที่ผลิตวิตามิน A ครีมในกลุ่มนี้ออกมา ซึ่งเป็นแบรนด์เกาหลีน้องใหม่ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์นี้คือ ผลิตภัณฑ์ของเขามีความแรงมาให้เลือกถึง 3 ขั้นคือ 0.05 /0.1/0.12 ทำให้เราสามารถค่อยๆไต่ระดับการใช้ขึ้นไปเรื่อยๆได้ทำให้ผิวเราค่อยชินกับส่วนผสมของวิตามิน A แล้ว ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้เค้าพัฒนามาจากแพทย์ผิวหนัง และนักวิทยาศาสตร์ 25 คน ใครสนใจผลิตภัณฑ์ตัวนี้หาซื้อได้ที่ เฟซบุ๊ก เพจ. ของ Dr.Different Thailand
ยังมีวิตามินเออีกมากมาย แต่ครั้งนี้พื้นที่ในการนำเสนอหมดเสียแล้ว ถ้ามีโอกาสครั้งหน้าจะนำเรื่องราวของวิตามินA ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดริ้วรอยมาฝากกันอีก
#ริ้วรอย #ป้องกันการเกิดริ้วรอย #beautytips
